ภารกิจพิเศษ
สรุปวิเคราะห์วรรณกรรมท้องถิ่น
เรื่อง
พระยากาเผือก
๑.
สรุปเนื้อหาจากวรรณกรรมท้องถิ่น เรื่อง พระยากาเผือก
ในสมัยต้นปฐมกัปป์
มีพญากาเผือก ๒ ตัวผัวเมียทำรังอยู่ที่ต้นมะเดื่อริมฝั่งแม่น้ำคงคา
อันเป็นธรรมชาติสถานที่รื่นรมย์
ในเวลาต่อมาพระโพธิสัตว์ได้ทรงปฏิสนธิเกิดในครรภ์แม่พญากาเผือกพร้อมกันถึง ๕
พระองค์ เมื่อครบทศมาสแม่กาเผือกก็เกิดออกไข่ ณ ที่รังต้นมะเดื่อจำนวน ๕ ฟอง
(สถานที่นี่ในกาลต่อมาเรียกชื่อว่า วัดพระเกิด ) แม่กาเผือกคอยเฝ้าฟักดูแลรักษาไข่ด้วยความทะนุถนอมเป็นอย่างดี
ครั้นอยู่มาวันหนึ่งพญากาเผือกได้ออกไปหากิน ถิ่นแดนไกล
ได้ไปถึงสถานที่หนึ่งอันอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพรรณธรรมชาติพืชพรรณธัญญาหาร
แม่กาเผือกได้เพลิดเพลินหากินอาหาร ชื่นชม
ธรรมชาติอันรื่นรมย์จนมืดค่ำพอดีฝนตกฟ้าคะนองพายุใหญ่พัดกระหน่ำทำให้มืดครึ้มทั่วไปหมด
ทำให้พญากาเผือกหาหนทางออกไม่ถูกจึงหลงในบริเวณสถานที่นั้นๆ (สถานที่นั้นต่อมา
จึงได้ชื่อว่า เวียงกาหลง) แม่กาเผือกได้พักอยู่ที่เวียงกาหลงคืนหนึ่ง
รุ่งอรุณเบิกฟ้า แม่กาเผือกจึงรีบถลาบินกลับไปสถานที่พัก ณ
ที่รังต้นมะเดื่อริมฝั่งแม่น้ำ แต่ปรากฏว่ากิ่งไม้มะเดื่อ
ที่ทำรังอยู่ได้ถูกลมพายุใหญ่พัดหักล้มลงไปในแม่น้ำ แม่กาเผือกตกใจรีบบินถลาหาลูกไข่ทั้ง ๕ ในแม่น้ำ
แต่ อนิจจาหาเท่าไรก็หาไม่พบแม่กาเผือกพยายามหาไข่ลูกของตนไปในทุก สถานที่
ตามลำน้ำจนเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าด้วยความโศกเศร้าเสียใจในความรักลูกอย่างสุด ซึ้ง
จึงไม่สามารถระงับความอาลัยทุกข์ได้ในที่สุดก็สิ้นใจไปอย่างน่าสงสาร ด้วยความอานิสงส์ที่มีความเมตตารักลูกอันบริสุทธิ์
กับทั้งลูกของแม่กาเผือกโพธิ์สัตว์ถึง ๕ พระองค์
จึงเป็นบุญกุศลหนุนส่งให้แม่กาเผือกตายไปเกิดอยู่แดนพรหมโลกชั้นสุธาวาสมี
วิมานทองคำสดใสบริสุทธิ์ งดงามตระการตา ได้นามชื่อว่า "ฆติกามหาพรหม"
จักได้เป็นผู้ถวายอัฏฐะบริขารบวชแก่ลูกทั้ง ๕ พระองค์ฺ
เมื่อได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่วนไข่ทั้ง ๕
ได้ถูกลมพัดตกน้ำไหลไปในสถานที่ต่างๆ
ไข่ฟองที่ ๑ มีไก่เก็บไปดูแลรักษา
ไข่ฟองที่ ๒
มีแม่นาคราชเก็บไปดูแลรักษา
ไข่ฟองที่ ๓ มีแม่เต่าเก็บไปดูแลรักษา
ไข่ฟองที่ ๔ มีแม่โคเก็บไปดูแลรักษา
ไข่ฟองที่ ๕
มีแม่ราชสีห์เก็บไปดูแลรักษา
ครั้งในกาลเวลาต่อมา
พระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ ก็ประสูติออกจากไข่ทั้ง ๕ ปรากฏเป็นมนุษย์ รูปร่างสวยสดงดงาม
ทั้ง ๕ พระองค์ในเวลา เดียวกันตามลำดับของแม่เลี้ยงทั้ง ๕ ที่นำไข่ไปเก็บ
ดูแลรักษา พระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ ได้เจริญเติบโตอยู่กับแม่เลี้ยงด้วยความกตัญญูู
จึงรู้ทำหน้าที่ทุกอย่างทดแทนบุญคุณแม่เลี้ยงเป็นอย่างดีจนถึงอายุ ๑๒ ปี
ด้วยบุญกุศลเก่าหนุนส่ง ก็มีจิตคิด ที่จะออกบวชเนกขัมบารมี
เป็นฤาษีอยู่ในป่าจึงได้อำลาแม่เลี้ยงของตนเหมือนกันทั้ง ๕ พระองค์
ฝ่ายแม่เลี้ยงถึงจะมีความรักอาลัยในลูกสักเพียงใด
แต่ก็ไม่ขัดขวางความประสงค์เจตนาที่เป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ของลูกจึงได้
อนุญาติให้ลูกไปบวชเป็นฤาษีบำเพ็ญบารมีอยู่ในป่าด้วยความปิติและอนุโมทนา
ด้วยปณิธานอันแน่วแน่ของพระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ พระองค์
ที่มุ่งมั่นจะบำเพ็ญบารมีพระโพธิญาณ เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าโปรดสัตว์โลก
ให้พ้นจากกองทุกข์ภัยในวัฏฏะสงสาร แม่เลี้ยงทั้ง ๕
เห็นปณิธานอย่างนั้นจึงฝากนามของแม่เลี้ยง
ไว้กับลูกเพื่อเป็นอนุสรณ์ตำนานไว้แก่โลกต่อไปในภาคหน้าเมื่อลูกได้ตรัสรู้เป็นพุทธเจ้าโปรดโลกแล้วตามลำดับนามดังนี้
องค์ที่ ๑ มีพระนามว่า พระกะกุสันโธเป็นตามนามแม่เลี้ยงที่เป็นไก่
องค์ที่ ๒ มีพระนามว่า พระโกนาคะมะโน
ตามนามแม่เลี้ยงที่เป็นนาค
องค์ที่ ๓ มีพระนามว่า พระกัสสะโป
ตามนามแม่เลี้ยงที่เป็นเต่า
องค์ที่ ๔ มีพระนามว่า พระโคตะโม
ตามนามแม่เลี้ยงที่เป็นโค
องค์ที่ ๕ มีพระนามว่า
พระศรีอาริยะเมตไตรโย ตามแม่เลี้ยงที่เป็นพระราชสีห์
ในกัปป์นี้ได้ชื่อว่าภัทรกัปป์เป็นกัปป์ที่เจริญที่สุดเพราะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกนี้ถึง
๕ พระองค์มีพระนามตามที่กล่าวมาแล้วนั้นทั้ง ๕ พระองค์ จึงเป็นที่มาของคำว่า
"นะ โม พุท ธา ยะ"
นะ คือ พระกะกุสันโฑ
โม คือ พระโกนาคะมะโน
พุท คือ พระกัสสะโป
ธา คือ พระโคตะโม
ยะ คือ พระศรีอริยะเมตไตยโย
จนเป็นคาถาสืบต่อกันมาเป็นพุทธบูชาแก่พระพุทธเจ้าทั้ง
๕ พระองค์
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทั้ง
๕ พระองค์ เมื่อออกบวชเป็นฤาษีได้บำเพ็ญเพียรพระกัมมัฏฐานจนสำเร็จญาณ อภิญญาสมบัติ
จึงสามารถเหาะไปหาอาหาร ผลไม้ด้วยฤทธิ์ทุกพระองค์
อยู่มาวันหนึ่งได้เหาะไปหาอาหารผลไม้ และ บำเพ็ญเพียรธรรมที่ป่าดอยสิงกุตตระ ณ
ใต้ต้นนิโครธอันร่มเย็นด้วยกิ่งไม้สาขาใหญ่ด้วยเหตุปัจจัยในกุศลบารมีธรรม ฤาทั้ง ๕
ได้มาพบกัน ณ ที่ นี้ โดยไม่ได้นัดหมาย รู้จักกันมาก่อน
จึงสอบถามความเป็นมาของกันและกัน จึงได้รู้แต่ว่า แต่ละองค์มีแต่แม่เลี้ยง
แม่ที่แท้จริวอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ฤาษีทั้ง ๕ จึงได้ร่วมกันตั้ง สัจจะอธิฐาน
ขอให้ได้พบแม่บังเกิดเกล้าที่แท้จริง ด้วยอำนาจสัจจะอธิฐาน
ธรรมอันบริสุทธิ์ของฤาษีทั้ง ๕
จึงดังก้องไปถึงพรหมโลกเป็นเหตุให้ท้าวฆติกามหาพรหมซึ่งเป็นแม่กาเผือกตายและได้มาเกิดเป็นพรหม
ทราบเหตุการณ์ทั้งหมด จึงจำแลงเพศเป็นแม่กาเผือกขนสวยงามยิ่งนัก
มาปรากฏอยู่ข้างหน้าฤาษีทั้ง ๕ ฝ่าย ฤาษีทั้ง ๕ ก็รู้ด้วยญาณ ทัศนะทันทีว่า
นี่แหละเป็นแม่บังเกิดเกล้าที่แท้จริง
จึงสอบถามแม่กาเผือกถึงความเป็นมาตั้งแต่ต้นว่า เรื่องเป็นมาอย่างไร
แม่กาเผือกจึงเล่าความเป็นมาแต่หนหลังครั้งทำรังอยู่ต้นมะเดื่อฝั่งแม่น้ำคงคา
อยู่มาวันหนึ่งได้ออกมาหาอาหารกินถิ่นแดนไกลถึงสถานที่ที่หนึ่ง
ซึ่งอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธ์ธัญญาหารเป็นธรรมชาติอันสวยงามสงบร่มเย็น บังเกิดพายุใหญ่
ได้พัดกิ่งไม้ฝนตกฟ้าคะนองจนมือค่ำจึงหลงทางอยู่หาทางออกไม่ถูก
จนกระทั่งอรุณรุ่งวันใหม่ฝนฟ้าพายุสงบลงจึงรีบบินกลับมาที่พักมาหาลูกที่รังด้วยความเป็นห่วง
แต่ปรากฎว่าคืนที่ผ่านมาฝนตกหนักพายุใหญ่ได้พัดกิ่งไม้มะเดื่อหักทำให้รังไข่ทั้ง ๕
ลูกแม่กาเผือกตกลงไปในน้ำและได้ถูกน้ำพัดไหลไปในที่ต่างๆ
หาเท่าไหร่ก็ไม่พบจนหมดความสามารถ
ในที่สุดด้วยความรักความอาลัยอันบริสุทธิ์ที่มีต่อลูกก็สิ้นใจตาย
ได้เกิดเป็นพระพรหมแดนพรหมโลกชั้นสุธาวาสมีวิมารทองคำเป็นที่อยู่
ด้วยอานิสงส์ความรักอันเมตตาอันบริสุทธิ์กับทั้งลูกเป็นพระโพธิญาณมีบุญญาธิมาก
จึงได้เกิดมาเป็นพรหมและได้จำแลงเพศเป็นแม่กาเผือกให้ลูกฤาษีทั้ง ๕
ได้ทราบถึงความเป็นมาทั้งหมด
เมื่อลูกฤาษีได้ทราบเหตุ
เช่นนั้นแล้้วก็รู้สึกสลดสังเวชใจเป็นอย่างยิ่งและสำนึกในบุญสร้างคุณอันใหญ่หลวง
ของแม่กาเผือก จึงน้อมกราบนมัสการ ฆติกามหาพรหมผู้เป็นแม่ที่ให้กำเนิดชีวิตลูกได้สร้างบุญบารมีพระโพธิญาณ
จึงกราบขอสัญลักษณ์อนุสรณ์ของแม่กาเผือกผู้บังเกิดเกล้าอาไว้บูชา
พระแม่กาเผือกจึงประทานผ้าฝ้ายเป็นด้ายฟั่น
เป็นตีนกาสัญญาลักษณ์อนุสรณ์ของแม่กาเผือก ประทานให้ลูกฤาษีทั้ง ๕
ไว้ใช้เป็นไส้ประทีปจุดบูชาทุกวันพระ และต่อมาเป็นประเพณีจุดประทีปตีนกาบูชาแม่กาเผือก
ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ลอยกระทง เป็นตำนานสืบไว้ในโลกาตลอดกาลนาน
เมื่อแม่กาเผือกฆติกามหาพรหมประทานสัญลักษณ์ ไว้ให้ลูกฤาษีโพธิสัตว์ทั้ง ๕
แล้วก็อาลูกกลับเทวสถาน วิมานของตนบนพรหมโลกตามเดิม
ฤาษีโพธิสัตว์ทั้ง
๕ ต่างก็พากันตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรรักษาศีลธรรมภาวนามิได้ขาดทุกวันพระก็จุดประทีบตีนกาบูชา
พระแม่กาเผือกฆติกามหาพรหมผู้เป็นแม่อยู่เสมอ เป็นเวลานานหลายปีชีวีฤาษีทั้ง ๕
ก็ดับขันธ์ได้ไปเกิดบนเทวโลกชั้นดุสิตพิภพอันเป็นที่อยู่ขององค์เทพพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
ได้เสวยทิพยสมบัติอยู่ในที่นั้น
และในกาลต่อมาก็วนเวียนบำเพ็ญบารมีทุกภพชาติที่กำเนิดเกิดในสังสารวัฏฏ์นี้
จนบารมีเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ทั้ง ๓๐ ทัศแล้ว ก็จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
เมื่อพระองค์ไหนจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ฆติกามหาพรหมผู้เป็นแม่
ต้นกัปโลกาก็จะนำเอาบริขารคือ บาตรไตรจีวร มาถวายลูกโพธิสัตว์ทั้ง ๕
พระองค์ในชาติสุดท้ายที่จะได้เป็น พระพุทธเจ้าโปรดโลกทุกพระองค์
กาลเวลาอันยาวนานผ่านไปจนถึงปัจจุบันนี้พระโพธิสัตว์ลูกแม่กาเผือกต้นปฐมกัปป์ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
โปรดโลกไปแล้วถึง ๕ พระองค์ตามลำดับดังนี้คือ
๑.
พระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๔ หมื่นปี มีเขมวตีนคร
ของพระเจ้าเขมะเป็นราชธานี
๒.
พระโกนาคมโนสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๓ หมื่นปี
มีโสภวตีนครของพระเจ้าโสภะเป็นราชธานี
๓.
พระกัสสโปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๑ หมื่นปี
มีพาราณสีนครของพระเจ้ากิงกิเป็นราชธานี
๔.
พระโคตโมสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๘๐ ปี มีกบิลพัสดุ์นครของพระเจ้า สุทโธทนะเป็น
ราชธานี
ส่วนพระโพธิสัตว์องค์ที่ ๕
อันเป็นลูกองค์สุดท้ายของแม่กาเผือกคือ พระศรีอริยเมตไตรย์
จักเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ในภัททกัปนี้จะมีอายุถึง ๘ หมื่นปี
ในยุคของพระศรีอริยเมตไตรย์นั้นสภาพสังคมมนุษย์โลกจะอุดมสมบูรณ์พูนสุขมาก
เพราะผู้คนมีศีลธรรมอยู่ด้วยกันได้เมตตาธรรมมีศีล ๕ บริสุทธิ์ ทุกคน
จึงมีทรัพย์สมบัติมาก มีอายุ ยืนยาว ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ
มีรูปร่างสวยสดงดงามหน้าตาผ่องใสเบิกบานด้วยกันหมด
เพราะผู้คนในยุคนั้นได้สร้างบุญบารมี ให้ทาน รักษาศีล ภาวนากันมาสมบูรณ์ดีหมดและเพราะพระบารมีของพระพุทธเจ้าศรีอริยเมตไตรยที่สั่งสมบารมี
เพื่อ
ความสันติสุขของโลกซึ่งมีพระเจ้าสังขจักรพรรดิทรงปกครองบ้านเมืองโดยชอบธรรมในเมืองเกตุมวดีนครแผ่ธรรมจักรพรรดิให้คนรักษาศีล
๕ ทั้งโลก เมื่อพระศรีอริยเมตไตรยได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วผู้คนจึงได้ฟังพระธรรมจักรได้ดื่มรส
อมตธรรมแห่งพระศรีอริยเมตไตรย์ ได้บรรลุเข้าถึงสวรรค์นิพพานโดยแท้
ผู้คนในยุคนั้นจึงโชคดีที่สุดที่เกิดมาเพื่อสันติสุข เข้าถึง
ศีลธรรมอันดีงามทั้งหมด
ขอให้ทุกคนจงพากเพียร
ให้ทาน รักษาศีล ภาวนา จะได้ไปเกิดในพระศาสนาพระศรีอาริย์หากเข้าสู่นิพพานยุคนี้ยังไม่ได้
ท่านก็ยังมีโอกาสได้พบพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งอย่างแน่นอนคือพระศรีอริยเมตไตรย์ลูกแม่กาเผือกองค์สุดท้าย
การเกิดมาพบพระพุทธศาสนาเป็นของหายากการเกิดมาพบพระพุทธเจ้าก็แสนยาก
บางครั้งโลกนี้ว่าง จากพระพุทธเจ้าเป็นล้านปีสัตว์โลกไม่มีโอกาสเห็น
หนทางพระนิพพานเลย ขอให้พวกเราอย่าได้ประมาท
จงหมั่นขยันสร้างบุญบารมีด้วยการให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ทำนุบำรุง
รักษาพระพุทธศาสนา ก็จะเข้าถึงศีลธรรม
สันติสุขได้ทุกคนและได้ร่วมสายบุญบารมีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์
๑.๑
ที่มาของวรรณกรรมเรื่อง พระยากาเผือก
นางพญากาเผือกนี้
เป็นตำนานพื้นบ้านของไทยที่พยายามอธิบายความเกี่ยวพันของพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์
ซึ่งเชื่อกันว่าในภัทรกัปนี้จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้สั่งสอนมนุษยชาติ ๕ พระองค์
คือ พระกกุสันโธ พระโคนาคมโน พระกัสสป พระสมณโคดม และพระศรีอาริยเมตไตร
ปัจจุบันเป็นศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ที่สี่ มีระยะเวลา ๕,๐๐๐ ปี ต่อไปก็จะถึงศาสนาพระศรีอาริย์จนสิ้นภัทรกัปนี้
ตอนจะสิ้นภัทรกัปสังคมจะเสื่อมเป็นกลียุค
แล้วเกิดไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลกขึ้นครั้งหนึ่ง
๑.๒
เรียบเรียงโดย ปรีชา พิณทอง
๑.๓
ต้นฉบับมาจาก ชาดกเรื่องกาเผือก
(พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์) ตำนานพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ คัมภีร์ใบลานเรื่องกาเผือก
๑.๔
แต่งปีที่ -
๑.๕
ปีที่พิมพ์ พ.ศ.
๒๕๓๗
๒. วิเคราะห์เรื่อง
๒.๑ วิเคราะห์ชื่อเรื่อง
นิทานเรื่องพระยากาเผือก
เป็นการตั้งชื่อเรื่องโดยมีการตั้งชื่อมาจากตัวละครเอกที่เป็นแม่กาเผือก ซึ่งมีลักษณะเป็นกาสีขาว
๒.๒
วิเคราะห์แก่นเรื่อง
การพลัดพรากของแม่และลูกที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งด้วยสายใยแห่งรัก
๒.๓ โครงเรื่อง
การเปิดเรื่อง
:การกำเนิดของพระเจ้า ๕ พระองค์ที่เกิดอยู่ในท้องของนางกาขาว คือ พระกกุสันธะ
พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ พระโคตรมะ และพระอริยะเมตไตรยะ
การดำเนินเรื่อง
๑.ขณะที่แม่กาขาวไม่อยู่
มีลมพัดเอาไข่ทั้ง ๕ ฟองไหลไปตามนำ โดยฟองที่หนึ่งแม่ไก่ได้เอาไปเลี้ยง
ใบที่สองนางนาคเอาไปเลี้ยง ใบที่สามแม่เต่าเอาไปเลี้ยง ใบที่สี่แม่โคเอาเลี้ยง
ใบที่ห้าแม่ราชสีห์เอาไปเลี้ยง
๒.เมื่อไข่ทั้งห้าฟักออกมาเป็นมนุษย์
จึงถามแม่เลี้ยงของตนว่าใครเป็นแม่บังเกิดเกล้า
๓.ครั้นเจริญวัยทั้งห้าได้ลาแม่เลี้ยงของตนออกบวชเป็นฤๅษีอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์
จุดสูงสุดของเรื่อง :
พระฤๅษีทั้งห้าได้มาพบกันที่ป่าหิมพานต์และได้ทราบว่าตนเป็นลูกจากท้องแม่เดี่ยวกัน
แต่ไม่ทราบว่าแม่เป็นใคร
จุดคลายปม
: มารดาที่ตายไปเกิดอยู่บนสวรรค์พระกาพรหมแปลงกายเป็นกา
มาปรากฏตัวให้ลูกชายทั้งห้าเห็นพร้อมเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่หนหลงให้ลูกฟังพอพุดจบลูกชายทั้งห้าก็พากันมากราบเท้าแม่
การปิดเรื่อง
: ฤๅษีทั้งห้าพระองค์ได้ตั้งใจบำเพ็ญเพียรจนสุดวามสามารถสิ้นอายุแล้วก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
เสวยสุขสมบัติอันเป็นทิพย์ตลอดกาล
๒.๔
วิเคราะห์ตัวละคร
๑.พญากาเผือก เพศ : หญิง
ชาติ
: นกกา
ลักษณะ
: กาที่มีสีขาวจนได้ฉายานามว่าพญากาเผือก
๒. ไข่ใบที่ ๑ เพศ : ชาย
ชาติ
:
ชายหนุ่ม
ลักษณะ :
ไข่ฟองที่ ๑ มีไก่เก็บไปดูแลรักษา
พอฟักตัวออกมาแล้วกลายมาเป็นชายหนุ่ม และได้เป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑
มีพระนามว่า พระกกุสันโธ ตามนามแม่เลี้ยงที่เป็นไก่
๓.
ไข่ใบที่ ๒ เพศ :
ชาย
ชาติ
:
ชายหนุ่ม
ลักษณะ :
ไข่ฟองที่ ๒ มีแม่นาคราชเก็บไปดูแลรักษา
พอฟักตัวออกมาแล้วกลายมาเป็นชายหนุ่ม และได้เป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒
มีพระนามว่า พระโกนาคะมะโน ตามนามแม่เลี้ยงที่เป็นนาค
๔.
ไข่ใบที่ ๓ เพศ :
ชาย
ชาติ
:
ชายหนุ่ม
ลักษณะ :
ไข่ฟองที่ ๓ มีแม่เต่าเก็บไปดูแลรักษา
พอฟักตัวออกมาแล้วกลายมาเป็นชายหนุ่ม และได้เป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓
มีพระนามว่า พระกัสสะโป ตามนามแม่เลี้ยงที่เป็นเต่า
๕.
ไข่ใบที่ ๔ เพศ : ชาย
ชาติ
:
ชายหนุ่ม
ลักษณะ :
ไข่ฟองที่ ๔ มีแม่โคเก็บไปดูแลรักษา
พอฟักตัวออกมาแล้วกลายเป็นชายหนุ่ม และได้เป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔
มีพระนามว่า พระโคตะโม ตามนามแม่เลี้ยงที่เป็นโค
๖.
ไข่ใบที่ ๕ เพศ :
ชาย
ชาติ
:
ชายหนุ่ม
ลักษณะ :
ไข่ฟองที่ ๕ มีแม่ราชสีห์เก็บไปดูแลรักษา
พอฟักตัวออกมาแล้วกลายเป็นชายหนุ่ม และได้เป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕
มีพระนามว่า พระศรีอาริยะเมตไตรโย ตามแม่เลี้ยงที่เป็นพระราชสีห์
๒.๕ ภาษาที่ใช้ในการแต่งวรรณกรรม เรื่อง พระยากาเผือก
หนังสือวรรณคดีอีสาน
ที่นักปราชญ์อีสานได้แต่งไว้มีอยู่ ๒ สำนวน สำนวนที่หนึ่งเป็นร้อยแก้ว อีกส่วนหนึ่งเป็นร้อยกรอง
สำนวนร้อยแก้วแต่งเป็นคำธรรมดาสำนวนร้อยกรองแต่งเป็นกาพย์กลอง มีเนื้อความสละสลวย
ฟังแล้วสนุกสนานเพลิดเพลิน
๒.๖
ภาษาที่ใช้ในการดำเนินเรื่อง
สำนวนร้อยแก้วเขียวเป็นตัวธรรม
ส่วนสำนวนร้อยกรองเขียนเป็นตัวไทยน้อย
๒.๗ วิเคราะห์ฉาก
๑. ฉากรังของแม่กา
มีพญากาเผือก
๒ ตัวผัวเมียทำรังอยู่ที่ต้นมะเดื่อริมฝั่งแม่น้ำคงคา
อันเป็นธรรมชาติสถานที่รื่นรมย์
ในเวลาต่อมาพระโพธิสัตว์ได้ทรงปฏิสนธิเกิดในครรภ์แม่พญากาเผือกพร้อมกันถึง ๕
พระองค์ เมื่อครบทศมาสแม่กาเผือกก็เกิดออกไข่ ณ ที่รังต้นมะเดื่อจำนวน ๕ ฟอง
(สถานที่นี่ในกาลต่อมาเรียกชื่อว่า วัดพระเกิด )
๒. ฉากอาศรมของฤาษี
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทั้ง
๕ พระองค์ เมื่อออกบวชเป็นฤาษีได้บำเพ็ญเพียรพระกัมมัฏฐานจนสำเร็จญาณ อภิญญาสมบัติ
๓. ความโดดเด่นของวรรณกรรม เรื่อง
พระยากาเผือก
ตำนานพระเจ้าห้าพระองค์
นับเป็นตำนานพุทธศาสนาของไทยที่สร้างสรรค์ขึ้นในวัฒนธรรมไทย
เป็นภูมิปัญญาในการเชื่อมความสัมพันธ์ในฐานะพี่น้องระหว่างพระพุทธเจ้าทั้ง ๕
พระองค์ นอกจากนี้ ยังมีบทบาทอยู่ในสังคมมาอย่างยาวนานและต่อเนื่อง อาทิ
การเป็นต้นกำเนิดประเพณีต่างๆ เช่น ประเพณีไหลเรือไฟ ประเพณียี่เป็ง
ประเพณีไต้ประทีปประเพณีทานตุง อีกทั้งยังมีบทบาทในทางการเมือง
หรือการนำไปใช้อ้างอิงในกฎหมายตราสามดวง
และมีบทบาทเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานศิลปกรรมต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับพระศรีอาริย์อีกด้วย
๔.
การนำไปประยุกต์ใช้ที่ผ่านมา
๔.๑ คาถาสืบต่อกันมาเป็นพุทธบูชาแก่พระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์
นะ
คือ พระกะกุสันโฑ
โม
คือ พระโกนาคะมะโน
พุท
คือ พระกัสสะโป
ธา
คือ พระโคตะโม
ยะ
คือ พระศรีอริยะเมตไตยโย
๔.๒
รูปปั้นพุทธประวัติของพระพุทธเจ้า 5
พระองค์ที่มีอยู่ตามวัด
องค์ที่ ๑
มีพระนามว่า พระกะกุสันโธเป็นตามนามแม่เลี้ยงที่เป็นไก่
องค์ที่ ๒ มีพระนามว่า พระโกนาคะมะโน
ตามนามแม่เลี้ยงที่เป็นนาค
องค์ที่ ๓ มีพระนามว่า พระกัสสะโป
ตามนามแม่เลี้ยงที่เป็นเต่า
องค์ที่ ๔ มีพระนามว่า พระโคตะโม
ตามนามแม่เลี้ยงที่เป็นโค
องค์ที่ ๕ มีพระนามว่า พระศรีอาริยะเมตไตรโย
ตามแม่เลี้ยงที่เป็นพระราชสีห์
๔.๕
ประเพณี
ประเพณีจุดประทีปตีนกาบูชาแม่กาเผือก
ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ลอยกระทง เป็นตำนานสืบไว้ในโลกาตลอดกาลนาน
๔.๖
พระธาตุ
พระธาตุวัดพระเกิด
มียอดฉัตรเป็นรูปหล่อแม่กาเผือกทองคำ ซึ่งครูบาเจ้าศรีวิชัย
สิริวิชโยนักบุญแห่งล้านนาไทย ได้มาบูรณะเมื่อปี พุทธศกราช ๒๔๖๙
๔.๗
สร้างเป็นเหรียญที่ระลึก
เพื่อเป็นเครื่องสักการบูชา
และเป็นเครื่องยึดเหนียวจิตใจของบุคคลที่นับถือศาสนาพุทธ
๔.๘
จิตรกรรมฝาผนัง
คือภาพเขียนหลายชนิดที่เขียนบนปูนบนผนังหรือเพดาน
เทคนิคที่นิยมกัน คือ การวาดภาพบนผนังปูนปลาสเตอร์เปียก
ซึ่งวัดหลายแห่งได้นำเอาพุทธประวัติพระเจ้า 5 พระองค์
มาวาดเพื่อให้เกิดสีสันภายในโบสถ์
๔.๙
สถานที่ท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนา
วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว
ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์
๕.
อินโฟกราฟฟิก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น